Family income protection คืออะไร??
คือการมีหลักประกันรายได้ของครอบครัวนั่นเองก่อนจะเข้าสู่ความหมายที่แท้จริงของคำนี้อยากให้คุณนึกว่า ทุกวันนี้เรามีรายได้กันมาได้อย่างไรการที่บุคคลทั่วไปจะมีรายได้ขึ้นมาได้นั้นจริงๆแล้ว เกิดขึ้นมาได้จาก 2 ปัจจัย คือ “ความสามารถ” และ “เวลา” ที่ต้องใส่ไปในงานนั้น
ความสามารถ + ☑ เวลา = ☑ รายได้ แต่ถ้าเมื่อใดก็ตามที่ปัจจัยใดปัจจัยหนึ่งสูญเสียไปก็มีอันที่รายได้จะต้องหยุดชะงักลงไปด้วยความสามารถ + ☑ เวลา =รายได้
เช่น กรณีนี้เห็นได้ง่ายที่สุด คือ “กรณีเด็กๆ ที่กำลังศึกษาเล่าเรียน”
เวลามีให้ใช้เหลือเฟือ ขาดเพียงแต่ความสามารถเท่านั้น ที่ยังต้องฝึกฝน จึงยังไม่ก่อให้เกิดรายได้และอีกกรณี คือ เราเองยังคงมีเวลาพร้อมสำหรับการทำงาน แต่ความสามารถในการทำงานได้ถูกพรากออกไป ไม่ว่าจะเป็นชั่วคราวหรือถาวร เช่น “ทุพพลภาพ การเจ็บป่วยหนัก หรือประสบอุบัติเหตุ” กรณีต่างๆเหล่านี้ ก็มีอันต้องทำให้รายได้มีอันต้องหยุดไปด้วยหรืออีกด้านหนึ่ง
ความสามารถ +เวลา = รายได้
คือ ความสามารถยังคงอยู่กับเรา แต่การใช้เวลาเพื่อที่จะได้ทำงานต่อกลับไม่มีให้เราได้ทำอีกต่อไป เช่น “การเกษียณอายุ” ซึ่งอันนี้ยังคงพอมีเวลาให้เราได้เตรียมการล่วงหน้า ก่อนที่จะถึงเวลานั้น กับอีกกรณีหนึ่ง คือ “การเสียชีวิตก่อนวัยอันควร”
มีคนบนฟ้ามาพรากเวลาให้จากไป แม้เราจะยังคงมีความสามารถอย่างเพียบพร้อมก็ตาม ทั้ง 2 อย่างนี้ ล้วนเป็นเหตุให้รายได้มีอันต้องหยุดชะงักเช่นเดียวกัน
ทุกคนเคยชินกับสมการแรกที่มีพร้อมทั้งความสามารถและเวลา แต่อย่าลืมว่าหากมีการเปลี่ยนแปลงของสมการปัจจัยใดปัจจัยหนึ่งขึ้นมา ก็อาจนำมาซึ่งความเสียหายทาง เศรษฐกิจต่อครอบครัวของเราได้
การมี family income protection ก็เพื่อเป็นการประกันคุณค่าทางเศรษฐกิจของบุคคล หรือเพื่อปกป้องค่า ความสามารถของเรานี้ให้คงอยู่กับครอบครัวต่อไปได้อีกช่วงระยะเวลาหนึ่ง หากเกิดเหตุสุดวิสัยที่จะมาทำให้รายได้ของครอบครัวต้องสะดุดลง อย่างน้อยเพื่อทำให้ครอบครัวของเค้าเดือดร้อนน้อยที่สุดนั่นเอง
เครื่องมือการเงินที่จะมาสร้างหลักประกันรายได้ของครอบครัวนี้ แน่นอนว่ายังไม่เครื่องมือใดที่บริหารความ เสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพเทียบเท่า “ประกัน”
และ “ทุนประกันชีวิต” นี่แหละ ที่จะสร้างหลักประกันรายได้นี้ให้กับเราได้
“ทุนประกัน คือ จำนวนเงินที่ทำสัญญาระหว่างผู้เอาประกันกับบริษัทรับประกัน โดยสัญญาต่อกันว่า หากเกิดเหตุ ตามที่ระบุไว้ในสัญญา บริษัทจะส่งมอบเงินทุนประกันที่กำหนดไว้นี้ ให้แก่ผู้รับผลประโยชน์ตามที่ระบุไว้ใน สัญญา”
หลายคนผ่านประสบการณ์ การซื้อประกันชีวิตเพื่อลดหย่อนภาษีกันมาบ้างแล้ว แต่อาจหลงลืมมองจุดที่สำคัญที่สุดของประกันชีวิตไปว่า
“เมื่อเราซื้อประกัน เราก็จะได้ประกันกลับมา”
ไอ้เจ้าผลประโยชน์ทางภาษี เป็นเพียงผลพลอยได้จากการเก็บออม ที่ทางภาครัฐออกนโยบายมากระตุ้นเพื่อให้
ภาคประชาชน เกิดการออมและสร้างหลักประกันให้ครอบครัว
อันเป็นผลประโยชน์ใหญ่ที่ส่งผลดีทั้งต่อภาคประชาชนและต่อสังคมส่วนรวม
ซึ่งถ้าจะโฟกัสกันที่ภาษีเพียงอย่างเดียว ก็ยังคงมีเครื่องมืออีกหลากหลายที่มาช่วยได้
“แต่แก่นแท้ของประกัน คือ การสร้างหลักประกัน
ทุนประกันจึงเป็นเรื่องที่ควรให้ความสำคัญมากกว่า”
อาจมีหลายคนที่คิดแย้งในใจว่า ทุนประกันไม่น่าจะมีประโยชน์อะไร เพราะทำไปก็ยังไม่เคยได้ใช้ประโยชน์ แน่ล่ะ!! ถ้าทุนประกันได้ถูกใช้จริงๆ คุณไม่น่ามานั่งอ่านอยู่ตรงนี้ได้แน่ๆ 555 คนที่จำเป็นต้องใช้ที่แท้จริง คือคนในครอบครัวที่ต้องมีชีวิตต่อไปต่างหาก
ทีนี้ลองมาดูกันดีกว่าค่ะว่า ทุนประกันชีวิต ที่บุคคลหนึ่งควรจะมี เค้าคิดกันอย่างไร
หลักในการคิดคำนวณ มี 2 หลัก
- คำนวณตามศักยภาพ (Potential base) วิธีการนี้คำนวณจากรายได้ที่จะเกิดขึ้นได้จากบุคคลนี้ตลอดช่วงชีวิตที่เหลือ เช่น นาย A อายุ 40 ปี มีรายได้ปีละ 1,000,000 บาท คาดว่าเกษียณอายุตอนอายุ 60 ปี
ฉะนั้น รายได้ที่นาย A จะสามารถหาเข้ามาสู่ครอบครัวในอีก 20 ปีนี้ เป็นเงิน 20 ล้านบาท แต่ในความเป็นจริงจะมีน้อยคนนักที่จะสามารถจัดสรรงบประมาณเพื่อทำทุนประกันชีวิตในวงเงินสูงเช่นนี้ได้ เพื่อให้สอดคล้องต่อความเป็นจริงจึงแนะนำว่า ควรทำทุนประกันชีวิตไว้ 5 เท่าของรายได้ต่อปี เพราะเป็นช่วงเวลาเพื่อให้ครอบครัวได้ปรับตัวทั้งทางสภาพจิตใจและเศรษฐกิจ หลังจากสูญเสียบุคคลสำคัญใน ครอบครัวไป
เช่น กรณีนี้ นาย A ควรมีทุนประกันชีวิต 5 ล้านบาท
- คำนวณตามภาระค่าใช้จ่าย (Need base)
วิธีนี้แนะนำว่าทุนประกันชีวิตที่ควรมี จะดูตามความจำเป็นของครอบครัว ว่าหากมีการสูญเสียบุคคลสำคัญไป มี ค่าใช้จ่ายที่ต้องรับผิดชอบอีกเท่าไรหักออกจากสินทรัพย์ที่มีอยู่ “ทุนประกัน = ภาระ – สินทรัพย์ที่มีอยู่”
ภาระที่จะคำนวณในที่นี้จะรวมจาก
-ค่าใช้จ่ายของครอบครัวคูณด้วยจำนวนปีที่อยากให้คนข้างหลังยังคงอยู่ได้ เสมือนว่ายังมีเขารับผิดชอบอยู่
-หนี้สินคงค้างทั้งหมด
-ค่าเล่าเรียนของบุตรทุกคนจนกว่าจะเรียนจบ
-ค่าใช้จ่ายในวาระสุดท้าย เช่น ค่างานศพส่วนสินทรัพย์ที่นำมาคำนวณนั้นคำนวณรวมจากทั้งหมดต่อไปนี้
-สินทรัพย์สภาพคล่องที่แปลงเป็นเงินสดได้ (บ้าน,รถ ถ้ายังต้องการอาศัยและใช้อยู่ ไม่สามารถนำมาคำนวณ ได้)
-กองทุนช่วยเหลือหรือเงินทดแทนจากบริษัทเมื่อเสียชีวิต -ทุนประกันที่มีอยู่แล้วในปัจจุบันนอกจากการทำตามความจำเป็นแล้ว อีกอย่างที่ต้องนำมาคิดรวมทุนประกันด้วยคือ จำนวนเงินที่ต้องการมอบให้แก่บุคคลอันเป็นที่รัก ไม่ว่าจะเป็นการให้เพื่อทดแทนคุณบิดามารดา หรือ มอบ ให้เพื่อเป็นทุนรอนแก่บุตรซึ่งหากตั้งใจมอบให้เป็นจำนวนเท่าไร ก็บวกเพิ่มไปหลังจากคิด need base แล้วได้เลยทั้งนี้ความสำคัญของการมีหลักประกันรายได้ของครอบครัว ก็ขึ้นอยู่กับบุคคล เพราะหากใครสักคนจะไม่มีทุน
ประกันชีวิตติดตัวเลยย่อมไม่ผิดเพราะเค้าอาจไม่ได้เป็นเสาหลักของครอบครัวไม่มีหนี้สินคงค้างให้คนข้างหลังไม่ได้เป็นที่พึ่งพาทางเศรษฐกิจให้กับใครหรือไม่มีใครที่ตั้งใจอยากจะดูแลและทั้งหมดนี้คือความหมายและความสำคัญของการมี family income protectionที่คิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์ต่อการวางแผนการเงินของทุกคนนะคะ